The Guilty ถือว่าเป็นหนังที่ กล้าได้กล้าเสี่ยงอย่างแท้จริง เพราะในตัวหนังตลอดการเดินเรื่องนั้น เน้นไปที่โตีะทำงาน ของโจ เบย์เลอร์ ที่มีเพียงคอมพิวเตอร์ ระบบการทำงานรับสาย 911 หัวฟัง และโทรศัพท์เพียงเท่านั้น และคิดว่าคงคนดูหลายคน ที่อาจจะเบื่อกับฉากดังกล่าว แต่ลองดูต่อไปอีกหน่อย ในช่วง 20n นาทีให้หลังนั้น จะมีเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามา เพื่อทำให้หนังเรื่องนี้น่าติดตามมากขึ้น
เริ่มต้นหนัง ก็เกริ่นนำเข้า พระคัมภีร์ในทางศาสนาคริสตร์กันเลยทีเดียว กับบทที่สามารถเป็นการบอก เรื่องราวของหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แล้วความจริง จะปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากบทพระธรรม ยอร์น 8:32 ซึ่งหากใครเห็นประโยคนี้เริ่มต้นเรื่อง คงคิดว่าเกี่ยวข้องอะไร กับหนังเรื่องนี้ แต่ถ้าดูเลยเกินครึ่งเรื่องแล้ว จะเริ่มรู้สึกถึง ความแปลกๆ ของหญิงสาว ที่โทรมาแจ้งความ 911
การพยายามแก้ไข ในสิ่งที่เคยผิดพลาดไปใน The Guilty
โดยเนื้อหาเริ่มต้น ดำเนินไปจนเรียกว่า เกือบทั้งเรื่องเลยก็ว่าได้ เป็นเรื่องราวของ ตำรวจชื่อ โจ เบย์เลอร์ ที่โดนย้ายหน้าที่มารับสายฉุกเฉิน 911 จากการรับทัณฑ์บนในการทำหน้าที่บกพร่อง ทำให้ตัวของโจ เกิดความกดดันจากงานเก่า และตามมาถึงงานใหม่ที่ต้องรับผิดชอบ เพราะในตัวเนื้องาน กับการต้องคอยรับสาย คนที่มีเรื่องเดือดร้อนกระทันหัน ประกอบกับแต่ละสายที่โทรเข้ามา ก็ไม่ได้มีระดับอารมณ์ในการสื่อสารที่ปกติสักเท่าไหร่
โจ ก็มีความรู้สึกผิดต่อตัวเอง และหน้าที่ๆ รับผิดชอบก่อนหน้า จนทำให้เป็นที่มาของเรื่อง The Guilty นี้ จึงทำให้หน้าที่ในการรับสายด่วนฉุกเฉินครั้งนี้ เขาพยายามที่จะทำให้เต็มร้อย กับการช่วยเหลือผู้ที่โทรมา ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่แจ้งในสายกับโจว่า ตัวเธอโดนลักพาตัว และคนที่ลักพาตัวก็คือสามีของเธอนั่นเอง เรื่องราวดำเนินมาเรื่อยๆ จากการพูดคุยกันไประหว่างโจ และหญิงสาวคนนี้
รวมถึงโจ ก็ใส่ใจกับเคสที่รับนี้ และติดตาม ทั้งป้ายทะเบียนรถที่ลักพาเธอไป รวมถึงรถของสามีเธอ เส้นทางถนนที่ผ่าน รถที่เธอโดนลักพาตัว รวมถึงตลอดเส้นทาง ว่าเธออยุ่ตรงไหนแล้ว ซึ่งเราอาจจะงง และรวมถึงเพื่อนร่วมงานของโจ ว่าทำไมเขาต้องเอาตัวเข้าช่วยเหลือขนาดนี้ เพราะทำตามหน้าที่ เพียงแต่รับสายเท่านั้น และประสานงานตามที่จำเป็น แต่ทังหมดที่ทำมา ก็เหมือนแก้ไขในข้อผิดพลาดของตัวเอง ในงานครั้งก่อน ที่ยังมีคดีติดทัณฑ์บนอยู่
ไม่มีอะไรที่คาดเดาได้ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะรู้ความจริง
เรื่องราวน่าจะเริ่มสะกิดใจคนดู ตั้งแต่การตามตัวผู้หญิงคนนี้ และตำรวจสกัดรถตู้ต้องสงสัย สีขาวปรากฏว่าข้างใน ไม่มีผู้หญิงอยู่ ที่สำคัญเมื่อมาถึงจุดสำคัญ ที่โจคุยสายกับผู้หญิงคนนี้ ว่าลูกของเธออยู่บ้านคนเดียว และเขาได้ให้ตำรวจเข้ามาเฝ้าหน้าบ้านแล้ว อีกทั้งยังให้เพื่อนตำรวจ ไปตรวจค้นบ้านของสามี ทำให้ฝ่ายผู้หญิง ที่ได้โทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายเข้ามา รีบตัดวางสายและคิดว่า คงมีคนดูหลายคนงงว่า เริ่มมีอะไรที่ผิดแปลกไป
จนความมาแตกเอาตอนที่ โจโทรหาเอมิลี่ สาวที่โทรมาแจ้งความว่าตัวเองโดนลักพาตัว และเพื่อนตำรวจของโจก็ได้เห็นในบ้านว่า ลูกชายอีกคนของเธอ นอนจมกองเลือดในครัว เมื่อโจถามเอมิลี่ถึงเรื่องลูกชาย เธอกลับบอกโจแบบเยือกเย็นว่า เธอเป็นคนผ่าท้องลูกต้วเอง เพราะมีงูอยู่ในท้องลูกชายเธอ เท่านั้นจึงได้รู้ว่า เอมิลี่ที่แท้ เธอคือคนไข้จิตเวช ที่เคยไปรักษารวมถึง เรื่องราวต่างๆ ที่เธอพูดมา เราต้องตามลุ้นว่า มีเรื่องจริงหลงเหลือกี่เรื่อง ที่จะเชื่อถือได้
พอดูมาถึงตอนท้ายเรื่อง เราถึงเข้าใจในประโยคที่ขึ้นต้นเรื่อง ว่าเป็นข้อความที่บ่งบอกถึงเนื้อเรื่องหนังทั้งหมด และทำให้ได้คิดต่อเนื่องจาก The Guilty ว่าในการทำความผิดพลาดแต่ละเรื่อง เราไม่สามารถเอาความผิดอีกเรื่อง มาเป็นจุดด่างให้กับเรื่องใหม่ หรืองานชิ้นใหม่ที่เรากำลังทำได้ เพราะแต่ละเรื่องก็ไม่เกี่ยวข้องกัน และควรมีสติควบคู่กับการตัดสินใจในทุกเรื่องด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นกว่าที่โจจะรู้ตัว ก็กลายเป็นตำรวจที่โดนคนไข้โรคจิตตุ๋นจนเปื่อย และมากกว่านั้น อาจจะกลายเป็นปมความผิดพลาดในเรื่องการทำงาน ที่ซ้ำเติมเขามากกว่าเดิมอีกด้วย
https://www.rogerebert.com/reviews/the-guilty-movie-review-2021
https://screenrant.com/guilty-movie-filming-how-long-jake-gyllenhaal-response/
https://screenrant.com/guilty-movie-ending-joe-twist-explained/