The Clapper หนังที่เสนอเรื่องราว ของอาชีพนักตบมือรายการทีวี แต่สำหรับบางคน ก็อาจดูอาชีพนี้ไม่ใช่งานที่ดี หรือไม่สามารถที่จะเรียกเป็นอาชีพได้เลย อย่างตัวเอ็ดดี้ ที่เป็นตัวละครหลัก และทำงานนี้ก็ไม่ได้ภูมิใจในงานที่ตัวเองทำสำเท่าไหร่
ความที่ต้องการสร้างให้เป็น หนังความรักตลก คอมเมดี้ ก็เลยทำให้เกือบทั้งเรื่อง เป็นการใส่บทพูด และซีนที่ต้องการให้คนดู ได้หัวเราะหรือคลายความเครียดจากสถานการณ์ ที่เอ็ดดี้เผชิญอยู่ แต่ก็ไม่สามารถที่จะหัวเราะได้เต็มที่ เพราะเหมือนเป็นมุกที่ด้าน
ในความเป็นจริง ที่เอ็ดดี้ไปทำงานทุกวัน และวันละหลายรายการ โดยที่ตัวเองอาศัยการปลอมตัว ใส่วิกผม ใส่หมวก เปลี่ยนเสื้อผ้า ตัดผม เพื่อไม่ให้คนจำได้ว่า เป็นตัวเขาเพราะจะทำให้คนดูจับได้ แต่เรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อพิธีกรดำเนินรายการอย่าง จิมมี่ เดอะโชว์ก็จุดประเด็น สร้างเรื่องราวเอ็ดดี้ออกสื่อ
The Clapper เมื่อการดูถูกเริ่มต้นจากตัวเราเอง
วันที่เอ็ดดี้กับเพื่อนของเขา คริสไปทำงานเป็นหน้าม้าตบมือในรายการของเอ็ดดี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นรายการที่เป็นที่นิยม ดังนั้นไม่ว่าคริสจะนำเอาเรื่องอะไรมาออกรายการ หรือตั้งประเด็นอะไร ก็มักเป็นที่พูดถึงรวมถึง ในวันหนึ่งกลับนำเอาเรื่องราว ของคนทำอาชีพแบบเอ็ดดี้มาพูดในรายการ เชิงล้อเลียน ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ ณ วันนั้น เอ็ดดี้ไม่ออกไปทำงานที่เขาเคยทำ
แต่มากกว่านั้น The Clapper ต้องการสื่อมากกว่านั้นคือ การที่เราเห็นว่าคนอื่นเอาเรื่องราวของเรา ไปพูดในทางดูถูก หรือเยาะเย้ยนนั้น ก่อนหน้าที่แม่โทรหาเอ็ดดี้ ตัวเขาก็ไม่ได้อยากจะบอก หรือภูมิใจกับการที่แม่บอกว่า เห็นเขาออกรายการด้วย
ชีวิตที่ไม่ได้ง่าย แต่ก็ไม่ยากอย่างที่เราคิดไปเอง
สิ่งที่เจอทั้งจากรายการทีวี และคนดูที่มองว่างานของเอ็ดดี้ รวมถึงตัวตนของเอ็ดดี้เอง เป็นความตลก ยังถือว่าเป็นการซ้ำเติมปมในใจของเอ็ดดี้ ผสมกับการที่จิมมี่เอามาเป็นจุดขาย ในรายการของเขา ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเป็นตัวตลกของสังคมมากขึ้น แต่เอ็ดดี้ไม่รู้หรอกว่า จริงๆ แล้วหากจะมองข้ามเรื่องนี้ และตัวเขาไปทำงานเหมือนปกติ ใครก็มาทำให้ตัวเรา หรืองานของเราน่าดูถูกไปได้ แต่สิ่งที่เอ็ดดี้ทำคือ การไปโวยวายกับคนที่มาคลั่งไคล้ตัวเขา และถ่ายรูป ยิ่งทำให้เกิดประเด็นขึ้นมากกว่าเดิมไปอีก
การทำให้เป็นหนังที่ดูง่าย โดยหยิบยกเรื่องราวในสังคม แล้วนำมาใส่มุกตลกร้าย ซึ่งบางทีต้องยอมรับว่า อาจจะไม่ได้ทำให้น่าขำ แต่กลับกลายเป็นเรื่องราวหัวเสียของ ตัวละครในเรื่อง The Clapper แทนที่ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องราว ที่สอนใจเราได้ดีอย่างหนึ่งคือ บางอย่าง บางเรื่องก็ปล่อย และช่างมันไปบ้าง อย่างที่บอกว่า no worry be happy จะทำให้ชีวิตเรามีความสุขขึ้นเยอะเลย
https://www.rottentomatoes.com/m/the_clapper
https://www.metacritic.com/movie/the-clapper