I’m Thinking of Enging Things จะถือว่าเป็นหนังสายอาร์ท หรือศิลปะที่สื่อออกมาเป็นภาพ และคำพูด โดยที่มีน้อยเรื่องมาก ที่จะกล้าสร้างในรูปแบบนี้ เหมือนภาพ abstract ที่มองหาความหมายจริงๆ ว่าภาพเหมือนกับอะไรไม่ได้ แต่สามารถสื่อให้รู้ถึงอารมณ์ และความรู้สึกลึกๆ
หากใครต้องการอยากรู้เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ คงไม่มีความจำเป็นมากมาย เพราะเป็นเพียงการที่นางเอกต้องไปหาพ่อแม่ของฝ่ายชาย ตามคำขอโดยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่ถามว่าอยากไป หรือต้องการที่จะสานต่อไปจนถึง ให้ครอบครัวอีกฝ่ายได้รู้จักหรือไม่ คงไม่ใช่
แต่จะทำอย่างไรในเมื่อความสัมพันธ์ ที่เกิดจากการรู้สึกเพียงไม่นาน และที่สำคัญความสัมพันธ์นั้น ตามความรู้สึกของฝ่ายหญิง ไม่ก้าวหน้า หรือเพิ่มเติมในความรู้สึกของเธอเลย อาจเป็นหนังที่ดูแล้ว คนส่วนใหญ่ต่างบอกว่าเข้าใจยาก และมีซีนทั้งเรื่องที่น่าเบื่อ ไม่มีเนื้อหามากมาย
แต่ถ้าเป็นคอหนังที่ชอบแนว Forrest Gump อยากให้ดูเพราะว่า ในแต่ละการแสดงออกของ ผู้หญิงรวมถึงทุกซีน ที่การถ่ายทำที่ออกมาจากแนวคิดของผู้กำกับ คอฟแมน ล้วนมีความหมาย หรือต้องการสื่อให้เห็นถึงที่มาที่ไปของตัวละคร และหนังเรื่องนี้
I’m Thinking of Ending Things เสียงที่ปราศจากการได้ยิน รับรู้ด้วยความรู้สึก
หากใครที่เริ่มจับสไตล์ของคอฟแมน ผู้กำกับเรื่องนี้ได้ ตั้งแต่ตอนเริ่มเรื่องของ I’m Thinking of Ending Things จะรู้ว่าในส่วนของภาพที่ออกมา บางครั้งก็เรียกว่า ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาก เหมือนเราเสพภาพวาด ที่ไม่จำเป็นต้องมองออกว่า เป็นรูปอะไร โดยมีการรับรู้ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน ไม่จำกัดมุมมอง หรือการถ่ายซุมมุมกล้อง แต่สิ่งหนึ่งที่คอฟแมนต้องการสื่อ ผ่านตัวละครนางเอก ในการเดินทางร่วมกับคนรักของเธอ บนรถตลอดระยะเวลาการเดินทาง โดยมีคนดูโดยสารไปกับพวกเขาด้วย
ในซีนที่น่าจดจำ คือภาพที่ฝ่ายหญิงบอกกับคนดูตั้งแต่แรกว่า ความสัมพันธ์ที่เธออยากจะเลิก แต่สวนทางด้วยการที่ฝ่ายชายต้องการให้เธอ ไปพบกับครอบครัวนั่นหมายถึง อีกฝ่ายต้องการจะสานต่อ ซึ่งในบางคนหากไม่ต้องการคบต่อ ก็สามารถปฏิเสธได้ แต่ไม่ใช่นางเอก ซึ่งการที่เธอไม่บอกปัดในข้อเสนอนี้กับฝ่ายชาย ทำให้ทุกอย่างดูกระอักกระอ่วนใจตลอดทั้งเรื่อง
อาจทำให้เรานึกขำแบบไม่ตลก เพราะเมื่อสิ่งที่นางเอกคิดในใจ หรือนึกในหัว แต่พระเอกกลับรู้สึกได้ว่า เธอกำลังพูดอะไรอยู่ หรือรู้สึกถึงความผิดปกติในทางลบของนางเอก ซึ่งตรงนี้ไม่แปลก เพราะในชีวิตจริงเราทุกคน อาจมีบางคนที่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาแล้วด้วย
เมื่อทุกอย่างดูจะเข้ากันไม่ได้ จะทำยังไงกับความสัมพันธ์นี้
เพียงแค่การเดินทางไม่เกิน 15 นาทีก็สื่อให้คนดูได้รู้ได้ถึง ความเข้ากันไม่ได้ทั้งความคิด ความรู้สึกที่มีต่อกัน และมุมมองต่อสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยอย่าง คำพูดสำหรับบางคำ ที่ฝ่ายหญิงมองว่า เป็นเรื่องธรรมดา แต่ฝ่ายชายเจค กลับมองว่าควรเปลี่ยนไปใช้คำพูดอย่างอื่นดีกว่า ซึ่งความไม่ลงตัวระหว่างทั้งสอง ทำให้เจสซี่ยิ่งอึดอัดมากกว่าเดิม จากที่อยากจะบอกเลิกตั้งแต่แรกแล้ว
ถึงเป็นเรื่องน่าลำบากใจ หากการคบกันแบบรวดเร็ว เพียงภายนอก หรือคิดว่าจะรู้จัก และเข้าใจกันได้ง่ายๆ รักกันได้ไม่ต้องใช้เวลามากมาย แต่กลับต้องมารู้ภายหลังว่า ไม่มีอะไรที่เราสองคนเข้ากันได้เลย ยิ่งกว่าการเสียเวลา นั่นคือในบางครั้ง เราก็ลำบากใจในการตัดความสัมพันธ์ครั้งนี้อีกด้วย
สิ่งที่บอกได้ดีเมื่อดูจบแล้วคือ บางครั้งคนที่ดี หรือดีมากก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน หรือเหมาะกับเรา อย่างเจคกับเจสซี่ ที่ผู้หญิงยอมรับเลยว่า ฝ่ายเจคดีทุกอย่าง มีความเข้าใจคนอื่น ใจเย็น มีเหตุผล แต่ก็บอกไม่ได้ว่า ทำไมเธอถึงอยากเลิก ชื่อเรื่อง I’m Thinking of Ending Things ถึงเป็นที่มาว่า ยังไงก็ตามอยากให้อยู่ด้วยกัน จนถึงตอนจบก่อนว่า สุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง
https://www.screendaily.com/reviews/im-thinking-of-ending-things-review/5152790.article
