Blue Miracle หนังที่นอกจากจะมีเค้าโครงเรื่องจริง ของเหตุการณ์บ้านเด็กกำพร้า ที่ประเทศเม็กซิโก การประสบกับปัญหาทางการเงิน ในภัยธรรมชาติที่เกิดพายุเข้ามา และทำลายข้าวของทุกอย่าง จนทำให้แต่เดิมคนในประเทศเม็กซิโก ต้องมีความเป็นอยู่แบบดิ้นรน ถึงจะเอาตัวรอดแล้ว ยิ่งทำให้สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนเดือดร้อนมากกว่าเดิม รวมถึงบ้านเด็กกำพร้า ซึ่งมีเจ้าของเป็นชายที่ชื่อ โอมาร์
คนเราเชื่อว่า หากทำดีแล้ว สิ่งดีๆ ก็จะช่วยคุ้มครอง และอวยพรให้เราได้เจอกับความสำเร็จ ความเชื่อนี้ยังเป็นความเชื่อที่มีอยู่ในตัวของ โอมาร์ มาตลอดเพราะอย่างนี้ เขาถึงได้เห็นคุณค่าของเด็กหลายคน ที่ไม่มีครอบครัว รวมถึงไม่มีที่อยู่อาศัย โดยการนำเด็กเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่วิ่งขโมยข้าวของชาวบ้าน ที่เขารู้ดีว่า สิ่งเหล่านั้นอาจไม่ใช่เนื้อแท้ของเด็กๆ แต่เป็นเพราะความจำเป็น และหาทางไปไม่ถูก
โอมาร์ส่งต่อความเชื่อใน Blue Miracle ให้กับเด็กในความดูแล
นอกจากตัวของโอมาร์ เจ้าของสถานเลี้ยงดูบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ จะเผชิญกับปัญหาด้านการเงิน ที่จะหาเงินยังไงเพื่อมาเป็น ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดูแลเด็กเหล่านี้ ที่เขาตั้งใจรับผิดชอบชีวิตเด็กๆ แล้ว ก็ไม่อยากที่จะต้องทิ้งในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจทำไป เขายังต้องเจอกับ ปัญหาของเด็กชาย twenty ที่ท้อกับชีวิตตัวเอง ที่มองไม่เห็นอะไรเลย และไม่มีอะไรให้หวัง
สิ่งที่เขาสอนให้เด็กชาย twenty ได้อยู่อย่างหนึ่งคือ ให้ twenty นำเอาตะปูมาตอก พร้อมกับกระดาษที่เขียน สิ่งที่ตัวเขาต้องการ และอธิษฐานด้วยความเชื่อต่อพระเจ้า และสิ่งนี้ก็ทำให้เป็นที่มาของ Blue Miracle โอมาร์พูดพร้อมกับบอกความเชื่อมั่นของตัวเอง ให้เด็กชายที่อยู่ในการดูแลของเขาฟังว่า ตัวเขาทำแบบนี้ และได้ตามสิ่งที่ขอมาทุกครั้ง ซึ่งการนบอกแบบนี้ โอมาร์ต้องการให้ เด็กชายคนนี้ยึดในพระเจ้า ซึ่งดีกว่าคิดว่า ตัวเขาไม่มีใคร และไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ทางเลือกเดียวตรงหน้า ทำให้ต้องทุ่มเทอย่างสุดชีวิต
หากเราเป็นคนเดียว ที่สามารถเป็นเสาหลักยึดเด็กๆ ในสถานบ้านพักเด็กกำพร้านี้ได้ และมีเราคนเดียว ที่จะเป็นหางเสือนำเอาเงินจากการแข่งขัน ตกปลา ที่ตัดสินใจลงแข่ง ตัวเราต้องเด็ดเดี่ยว และเชื่อมั่นว่าทำได้ ถึงแม้ในสถานการณ์ที่ โอมาร์เผชิญพร้อมกับพวกเด็กๆ นั้น จะมีแต่ความไม่แน่นอน และมีสิทธิที่จะไม่ชนะ ทั้งกัปตันที่มาช่วยพวกเขา ก็ไม่ใช่คนที่เก่งเต็มร้อย อีกทั้งลูกทีมก็ไม่ใช่มืออาชีพ มีเพียงใจกับใจเท่านั้น
ซึ่งการที่โอมาร์ ต้องเผชิญ และท้าทายกับการแข่งขันตกปลาในครั้งนี้นั้น ไม่เพียงแค่ความยาก ในการทำในสิ่งที่เขาไม่ได้ถนัดเลย อีกทั้งตัวของโอมาร์ ยังมีปมที่มีอดีตฝังใจกับน้ำอีกด้วย นาทีนี้รู้เลยว่า โอมาร์และลูกทีมทุกคน ไม่สามารถมีความคิดเพียงชั่วแว๊บเดียวว่า จะไม่ชนะได้ เพราะเมื่อไหร่ที่คิด ทุกอย่างก็จะยิ่งแย่กว่าเดิม
หนังเรื่องนี้ ทำให้รู้สึกได้ถึงคำว่า สู้ยิบตา เพราะ Blue Miracle จะไม่เกิดขึ้นได้เลย หากตัวคน หรือโอมาร์ และเด็กๆ ท้อจนหมดกำลังใจที่จะไปแข่งขัน เพราะในเรื่องจนถึงช่วงเวลาที่แข่งขันตกปลา เราเห็นแต่ว่า เกิดปัญหาทุกคนในทีม จะช่วยกันพาให้ผ่านกันไปได้ เพราะมีเป้าหมาย ที่ต้องมีคำตอบเดียวเท่านั้นคือ ชนะการแข่งขันให้ได้ และถ้าเป็นตัวเราๆ จะสามารถผลักดันตัวเองให้ไปถึงเป้าหมาย ได้เหมือนกับโอมาร์และเด็กๆ หรือไม่
https://www.rottentomatoes.com/m/blue_miracle
https://screenrant.com/blue-miracle-movie-true-story-orphanage-fishing-differences/
