Halftime ถ้าจะให้มองว่าเป็นเหมือนหนังสารคดี หรือชีวประวัติของ Jennifer Lopez หรือ เจโล ที่เหล่าแฟนคลับเรียกกันสั้นๆ ก็ดูจะเป็นแนวสาระจนเกินไป แต่ภายในเรื่องนี้ ที่มีเวลาทั้งหมดในการถ่ายทอดเรื่องราวของเธอ เพียงแค่ไม่เกิน 2 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้เรารวบรัดชีวิตตั้งแต่ตอนเด็ก จนถึงช่วงที่มีชื่อเสียงสูงสุด ของนักร้องสาวคนนี้ ในแบบ 360 องศาเลยทีเดียว
แม้แต่คนที่ไม่เคยติดตามเรื่องราวของเธอ แม้กระทั่งเพลงที่เธอร้องเลย รับรองได้ว่าการได้มองเห็นชีวิตเธอจริงๆ ผ่านหนังเรื่องนี้ ต้องไม่ผิดหวัง และได้รับรู้ว่า นักร้อง นักแสดงที่มีชื่อเสียงแบบสุดๆ ทั่วโลก ก็ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายเลย แต่ทุกวันเต็มไปด้วยความท้าทาย และตารางเวลาที่มีค่ายิ่งกว่าตัวเงินเสียอีก
Halftime ช่วงเวลาที่มีค่า คือการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและเต็มที่กับมัน
เจนนิเฟอร์ โลเปซ ตั้งแต่เด็ก ที่เธอมีพี่สาวคนโตร้องเพลงเก่ง พี่คนกลางฉลาด ส่วนตัวเธอยังไม่แน่ใจว่า ตัวเองเก่งทางด้านไหน จนมาวันที่เธอเริ่มเข้ามาสู่วงการบันเทิง จากการเป็นแดนเซอร์ และนักแสดง จนทำให้หลายคน จำภาพติดตาตัวเธอว่า หลักๆ แล้วเธอมีอาชีพเป็นแดนเซอร์มากกว่า ทั้งๆ ที่ความจริงเธออยากให้เป็นภาพจำว่า เจนนิเฟอร์คือ นักแสดง
การที่ตัวเธอเริ่มเข้ามาในแวดวงเสียงเพลง ไม่ว่าจะเป็นแดนเซอร์ นักร้อง หรือนักแสดงก็ตาม เป็นเพราะครอบครัวเธอตั้งแต่ตอนเด็ก อยู่ในย่านที่เป็นสีเทาๆ ดังนั้นการได้ใกล้ชิดกับเสียงเพลง คือสิ่งเดียวที่จะทำให้เธอมีความสุข อาจจะเป็นเพียงแค่ Halftime หรือแค่บางช่วง หรือบางเสี้ยวของชีวิตก็ตาม แต่ยังทำให้เธอมีความหวัง ที่อยากที่จะมีอนาคตที่ดีกว่า และไปให้ไกลกว่าในวันนี้ที่เป็นอยู่ กับความคิดในวัยเด็ก
ผลงานคือส่วนเดียวที่ทำให้เราเป็นที่รู้จัก แต่การดูแลสังคมคือสิ่งที่ไม่ควรทิ้ง
การจะทำอะไรดีๆ ให้กับสังคม หรือปัญหาที่มีอยู่อย่างเรื้อรัง คงคิดว่าไม่ว่าเราจะเป็นใคร ก็สามารถทำความดีได้ตลอด แต่สำหรับเจนนิเฟอร์ โลเปซ แล้วเมื่อเธอได้ก้าวมาถึงจุดสูงสุด และมีการทัวร์คอนเสิร์ต ทั้งไมอามี่, โตรอนโต และงานแสดงช่วงเบรกพักครึ่ง สำหรับ Superbowl เป็นงานแสดงอเมริกันฟุตบอล NFL ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ใหญ่ และเป็นการเปิดตัวเธอ ในอีกรูปแบบมุมมองหนึ่ง นอกจากนักสาวดีว่า หรือนักสาวแนวฮิปฮอป ที่เซ็กซี่ก็ตาม และด้วยความที่เธอเป็นที่รู้จักรอบด้านมากขึ้น ทำให้การเข้ามาช่วยเหลือ และไม่เห็นด้วยในการกระทำต่อผู้อพยพในอเมริกา ที่เธอได้เห็นปัญหาทั้งเด็กเล็ก ที่ต้องถูกแยกพ่อแม่ออก หรือการกระทำต่อคนที่อพยพเข้ามา ในแบบที่ไม่ค่อยจะให้เกียรติเท่าไหร่
การที่เธอไม่เห็นด้วย อาจไม่ใช่เพราะอยากที่จะทำตัวให้ดูดี หรือรักษาภาพให้เหมือนคนของประชาชน แต่ที่สำคัญคือ เธอไม่ได้ก้าวจากจุดที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอรับรู้ได้ดีว่า คนที่อยู่ในช่วงเวลาที่ลำบากเป็นอย่างไร ซี่งถ้ามองมาถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลงานเพลง หรือผลงานหนังที่มีชื่อเสียงอย่าง Maid of Manhattan, Wedding Planner
ล่าสุดที่เธอเป็นเจ้าของผู้ผลิต นายทุนเรื่องนี้ และนำแสดงเอง ด้วยการลงทุน การทุ่มเทมากกว่าทุกๆ เรื่อง ในบทของ Pole Dance หรือนักรูดเสา ในหนังเรื่อง Hastlers ที่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยกับการฝึกที่จะเป็นอาชีพนี้ และต้องฝึกจนร่างกายช้ำทั่วตัว ซี่งหากเป็นคนทั่วไป หลายคนอาจจะไม่ต้องลำบากเท่าเธอก็เป็นได้
รวมถึงกับมุมที่เธอไม่สบาย แต่ไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรู้ ไม่ว่าจะเป็นทีมงาน หรือครอบครัว เพื่อที่จะให้ทุกอย่างไปต่อได้ และจุดอ่อนแอ ที่เธอพูดถึงการโดนตามติด ในฐานะคนมีชื่อเสียง กับการที่บอกไม่เห็นด้วย ไม่เหมาะสมที่เธอจะเป็นดารา หรือนักร้อง บูลลี่เธอไม่ดีพอ แย่ในด้านไหน ซึ่งบางครั้งเธอก็คือคนทั่วไปอย่างเรา ที่อยากจะเอาตัวเองออกจากจุดตรงนั้น แต่ด้วยมองเห็นความจริงว่า เธอทำอะไรอยู่ และเธอดีแค่ไหน ในความเป็นจริง
ถึงแม้ในวันนี้ที่เธอดังมากจากทุกสาขาของวงการบันเทิง และไม่มีเวลาแม้กระทั่งได้เจอหน้าลูกทุกเช้า หรือต้องพูดคุยกับแม่ผ่านการบันทึงเสียง และส่งไปแชทส่วนตัวของแม่ ทั้งหมดเรียกว่าต้นทุน ที่เราทุกคนต้องยอมแลก กับสิ่งที่เรารัก รวมถึงการมองโลกในแง่มุม ที่มีความหวังอยู่ตลอด อย่างประโยคที่เธอบอกว่า แรงบันดาลใจ สามารถได้จากทุกที่ ทุกการเดิน ทุกการมอง เป็นงานที่เธอทำอยู่ตลอด ดังนั้น Halftime อาจเป็นแค่ช่วงเวลาที่เราได้เห็นผลงานจากเธอ แต่เจนนิเฟอร์ โลเปซ เธอทุ่มเททั้งชีวิต เพื่อให้ได้ช่วงเวลาเหล่านี้ ที่เธอฝันว่าจะมีสักวันได้ทำมัน และวันนี้เธอก็ได้มาถึงจุดนี้อย่างน่าภูมิใจ
อ้างอิง
ไฮโลไทย, ไฮโลไทยได้เงินจริง, ทดลองเล่นไฮโลไทย