The In Between อาจจะถือว่าเป็นหนังที่มีความสดใหม่ สำหรับต้นเดือนเมษายนปีนี้ ที่เข้ามาสร้างความน่าสนใจให้กับคนดูชาว Netflix แต่เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่ กับเรื่องราวชีวิตหลังความตายของคนๆ หนี่ง ที่มีต่อคนรักอีกคนในอีกมิติที่ยังมีชีวิตอยู่
หนังอาจมีการเดินเรื่องที่เป็นรูปแบบที่เราคุ้นเคย โดยที่มีการฉายเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน ซีนที่หนังใกล้จบแล้ว หรือเรียกว่าเป็นจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง ว่าเกิดอะไรขึ้น และทำให้อะไรบ้างต้องมีจุดหักเหแบบตั้งรับไม่ทัน ทั้งตัวนักแสดงและคนดู แต่แล้วก็ย้อนกลับไปตอนต้นเรื่อง หรือช่วงเวลาที่นางเอกอย่าง เทรซ่าได้รู้จักกับสกายล่าร์ ในแบบไม่ทันตั้งตัวมาก่อนเหมือนกัน
เราคิดว่าสามารถควบคุมทุกอย่างได้ แต่ The In Between ทำให้รู้ว่าไม่ใช่เลย
คนเราทุกคนเมื่ออยู่ในช่วงอายุที่กำลังมีพลังแรงกาย และกำลังใจสมบูรณ์ พร้อมที่จะสู้กับอุปสรรคทุกอย่างที่ขวางหน้า และคิดว่าตัวเรานี่แหละ ที่สามารถกำหนดทุกอย่างได้ หากตั้งใจจริงซะอย่าง แต่ที่จริงแล้วหากเราได้เจอกับ บางสิ่งบางอย่างที่เหมือนรถไฟเหาะตอนขาลงแล้วละก็ ความคิดนี้จะโดนเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง เหมือนอย่างที่The In Between กำลังบอกเราผ่านหนังเรื่องนี้
เทรซ่าที่คลั่งไคล้การถ่ายรูปขาวดำ กับกล้องแบบ SLR และยึดการถ่ายภาพแบบวัตถุ สิ่งของมาโดยตลอด ทั้งที่มีฝีมือการถ่ายภาพที่ดีมาก จนครูที่ดูแลอยู่สามารถเขียนรับรอง ในการเข้าไปเรียนต่อโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านการถ่ายภาพได้เลย
เพียงแต่การแนะนำของครู ที่ต้องการให้เทรซ่า มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบที่ตัวเธอ ยึดติดโดยไม่รู้ตัว และลองหันไปถ่ายรูปคนที่ให้ความรู้สึกดูบ้าง ในทันทีที่เทรซ่าไม่ได้เอาคำแนะนำของครู มาปรับปรุงงานถ่ายภาพตัวเอง ตัวเธอก็ได้เห็นชายคนหนี่งในระหว่างการถ่ายภาพชายหาด และอีกครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อเธอเข้ามาดูหนัง และมีเพียงเธอกับชายคนนั้น รวมถึงความประหลาดที่เขาขยับที่นั่งมาติดกับเธอ เพียงต้องการแปลคำพูดนักแสดงในหนังให้กับเธอ
แต่สิ่งที่ทำให้เทรซ่าเริ่มหลงเสน่ห์ตัวสกายล่าร์เข้าให้ อาจไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาพูดภาษาได้ทั้งฝรั่งเศส อิตาลี หรืออ่านนิยายเรื่องโปรดแบบเดียวกับเธอ แต่เป็นเพราะอะไรบางอย่างที่เกิดจากการคุยกันครั้งแรก พร้อมกับภาษาตาที่มองเห็นในดวงตาของเขา แต่ทั้งหมดนี้ที่เป็นความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้น ใครจะไปรู้ได้ว่า มันจะสั้นแค่ไหน
ความรักและเยื่อใยบอกเราให้รู้ว่า ความตายไม่ได้พาคนรักจากไปไหน
หนังเรื่องนี้นอกจากเป็นหนังความรัก แนวปาฏิหาริย์แล้ว ยังมั่นใจด้วยว่า การมีนักแสดงน้อยคน และเน้นไปที่สกายล่าร์ กับเทรซ่าเกือบทุกซีน จะไม่ทำให้คนดูเกิดความเบื่อ หรือเลี่ยน เพราะความรู้สึกที่ส่งผ่านคนทั้งคู่ ทำให้คนดูได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ว่า หลายต่อหลายครั้ง ความรักไม่สามารถบอกได้ว่า เราชอบอีกฝ่ายเพราะอะไร แม้เพียงแค่เห็นเพียงเวลาไม่นาน หรือการอยู่ใกล้กันในโรงหนัง ที่มีแต่ความมืดเท่านั้น
จนถึงเวลาที่ผ่าน 102 วันก่อนเกิดอุบัติเหตุ เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น รถที่สกายล่าร์ขับมากับเทรซ่าเกิดชน และสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นคือ สภายล่าร์ตายแต่เทรซ่ากลับมีชีวิตรอดอย่างหวุดหวิด จนตอนต้นเรื่องต้องมีการนำเอา ประโยคที่ว่า เรื่องราวความรักคือเรื่องผี จากผู้เขียน เดวิด ฟอสเตอร์ เหมือนเป็นตัวบอกว่า สกายล่าร์ตายแค่ร่างกาย แต่จิตวิญญาณของเขายังตามเทรซ่า เหมือนต้องการบอก หรือสื่อสารเรื่องราวสุดท้ายกับเธออยู่เพียงไม่กี่วัน และหลังจากนั้นเขาจะจากเธอตลอดกาล
ในตอนต้นเรื่องที่เราอาจดูหนังเรื่องนี้ ในแบบเหมือนหนังรักทั่วไป กับการตกหลุมรักใครบางคน และชีวิตรวมถึงโลกนี้มีแต่สีชมพู แต่ภายหลังไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นหรือไม่เหมือนอย่างThe In Between เราจะรู้ว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ สามารถเล่นตลกกับเราได้ตลอด และไม่มีทางเลย ที่เรามนุษย์ตัวเล็กๆ จะสามารถควบคุมอะไร ด้วยความเก่ง และมั่นใจของตัวเองเพียงเท่านั้น
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ช่วงสำคัญของชีวิตเราทุกคน ที่ยังมีลมหายใจอยู่ รวมถึงยังมีเรี่ยวแรงที่สามารถทำอะไรต่ออะไรได้ ใครบางคน หรือหลายคนในชีวิตของเรา ที่เป็นคนที่มีค่า และเราไม่สามารถสูญเสียคนเหล่านั้นได้ ให้รีบทำสิ่งดีๆ หรือมีเวลาให้กับพวกเขา เท่าที่จะทำได้ เพราะเมื่อไหร่เวลานั้นมาถึง แม้แต่ลมหายใจของคนเหล่านั้น เรายังไม่สามารถที่จะยื้อได้เลยสักวินาทีเดียว
อ่านบทความเพิ่มเติม
https://nungdu.com/
เครดิตภาพ
https://google.com/
สนับสนุนโดย
คาสิโนออนไลน์ / เซ็กซี่บาคาร่า / สล็อตออนไลน์